มนัสวิน วานิชกมลนันท์ นักศึกษาสาขาวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
รางวัลวิทยานิพนธ์ดีเด่น ชนะเลิศ จากนิด้า ปีการศึกษา 2555

 วิทยานิพนธ์เรื่อง                                                  

 A Study of Yoga Poses Using Semiotics, Hidden Meanings of Beliefs and the Development of Communication Skills

การศึกษาลักษณะท่าโยคะโดยทฤษฎีการศึกษาเชิงสัญลักษณ์กับความหมายแฝงทางด้านความเชื่อและความสามารถในการพัฒนาทักษะด้านการสื่อสาร 

บ้านหลังที่สามที่ซึ่งถูกสร้างด้วยก้อนอิฐยัง คงตั้งตระหง่านอยู่ที่เดิมซึ่งต่างจากบ้านสองหลังแรกที่เจ้าของสร้างขึ้นโดย ใช้กองฟางกับกิ่งไม้ หมาป่ายิ่งพยายามมากเท่าใดก็ไม่สามารถพังบ้านหลังสุดท้ายเข้าไปได้ ท้ายที่สุดบ้านหลังสุดท้ายก็ตอบแทนเจ้าของและลูกหมูอีกสองตัวให้อยู่อย่างมี ความสุขโดยปราศจากการตกเป็นอาหารของเจ้าหมาป่า นิทานเรื่องลูกหมูสามตัวมักจะเป็นนิทานที่ข้าพเจ้ามักจะเล่าให้กับเด็กๆ รวมถึงนักเรียนของข้าพเจ้าให้เห็นถึงความพยายามของลูกหมูตัวที่สามที่ใช้ เวลานานกว่าลูกหมูสองตัวแรกในการสร้างที่อยู่อาศัยของตนเอง นิทานเรื่องนี้เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนให้เห็นถึงคำว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น”

              ในบางครั้งข้าพเจ้าสงสัยว่าคำสุภาษิตนี้มีส่วนหรือส่งผลในชีวิตประจำวันของ เราหรือไม่ หรือจะเป็นผลลัพท์หรือสิ่งจูงใจในทุกๆเรื่องที่จะพาเราไปถึงจุดหมายต่างๆได้ ก่อนที่ข้าพเจ้าจะตัดสินใจสมัครเข้ามาเป็นลูกพ่อขุนรามคำแหง ข้าพเจ้าแอบมีความคิดเล็กๆว่าการเรียนปริญญาโทในเมืองไทยไม่น่าจะเป็นเรื่อง ยากเย็นอะไร ขอให้มีเวลาเข้ามานั่งเรียนและทำงานที่ได้รับมอบหมายเพื่อส่งถึงมืออาจารย์ บวกกับคะแนนในการสอบ เพียงเท่านี้ก็สามารถเป็นบัณฑิตได้อย่างสมบูรณ์ ข้าพเจ้ามีความคิดที่เปลี่ยนไปหลังจากที่สอบเข้ามาเป็นหนึ่งในนักศึกษาในภาค วิชาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร การเรียนที่สาขานี้ไม่ใช่เพียงแค่การฟังพูดอ่านเขียนที่หลายๆคนรวมถึงตัว ข้าพเจ้าเคยวาดภาพในความคิดไว้ และไม่ใช่สาขาวิชาที่มาขัดเกลาความรู้ของนักศึกษาโดยเริ่มจากศูนย์จนเพิ่ม ให้มากขึ้น แต่ในทางตรงกันข้ามกลับเป็นสถาบันที่คอยเติมเต็มกับนักศึกษาที่มีความรู้และ ความพร้อมที่จะเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆให้เพิ่มมากขึ้น ไม่ใช่แก้วที่มีแต่ความว่างเปล่ามาเพื่อพร้อมที่จะรับ แต่ควรเป็นแก้วที่ใส่ความรู้มาแล้วและพร้อมที่จะถูกเติมเต็มในสิ่งใหม่ๆ แต่จะว่าไปการเรียนที่ภาควิชาภาษาอังกฤษและการสื่อสารในคณะมนุษยศาสตร์ก็ไม่ ใช่สิ่งที่ยากลำบากเกินไปสำหรับตัวข้าพเจ้า หลายคนต่างก็หยุดเรียนกลางคันรวมถึงคนอีกจำนวนไม่น้อยที่พักการเรียนและหัน ไปทำในสิ่งอื่นแทน  วิทยานิพนธ์หรือ Thesis ก็เป็นอีกภารกิจสำคัญที่นักศึกษาหลายคนทราบกันดีและสามารถเลือกที่จะทำหรือ ไม่ทำก็ได้ มีคนเคยบอกข้าพเจ้าว่าวิทยานิพนธ์คือตัวสกัดดาวรุ่ง ไม่แปลกใจเลยว่ามีนักศึกษาจำนวนไม่น้อยจากหลากหลายสถาบันเลือกที่จะไม่เขียน รวมถึงตัวข้าพเจ้าด้วยในช่วงแรกเพื่อที่จะได้จบโดยเร็ว

           ก่อนที่ข้าพเจ้าจะลงตัวกับงานวิจัยชิ้นนี้สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับตัวของ ข้าพเจ้าก็คือจุดเริ่มต้นนั่นเอง ลองนับๆดูแล้วหัวข้องานวิจัยของข้าพเจ้าที่เคยร่างและได้นำมาปรึกษาอาจารย์ มีอยู่สี่หัวข้อซึ่งขณะนี้ได้ถูกพับเก็บอยู่ในกล่องกระดาษบนห้องใต้หลังคา และได้ตัดสินใจที่จะทำในหัวข้อที่ชื่อว่า “A Study of Yoga Poses Using Semiotics, Hidden Meanings of Beliefs and The Development of communication Skills” เนื่องจากทุกๆเรื่องที่ข้าพเจ้าทำจะต้องเป็นอะไรที่มาจากความสนใจส่วนตัว เป็นหลักซึ่งหัวข้อนี้เป็นการผสมผสานระหว่างสิ่งที่ข้าพเจ้ารักนั่นคือการ ฝึกโยคะ, ความเชื่อในตำนาน, การศึกษาเชิงสัญลักษณ์ และประโยชน์ในแต่ล่ะท่าของโยคะที่มีส่วนช่วยในการพัฒนาทักษะด้านการสื่อสาร มีหลายต่อหลายคนแสดงถึงความแปลกใจกับหัวข้อของข้าพเจ้ารวมถึงบางคนตั้งคำถาม กับข้าพเจ้าว่าจะนำเอาท่าโยคะกับระบบเชิงสัญลักษณ์มาทำได้อย่างไร? ทำออกมาจะเกี่ยวข้องกับสาขาที่เรียนไหม? ทำเรื่องอื่นๆที่คนทั่วๆไปทำดีกว่าไหม จะได้จบง่ายๆ แต่ข้าพเจ้าก็ยังคงต้องการที่จะสานความคิดที่มีอยู่ให้เกิดเป็นรูปเล่มวิทยา นิพนธ์ขึ้นมาให้ได้ ถึงแม้ช่วงเวลาที่ทำรวมถึงการหาข้อมูลต่างๆจะใช้เวลานาน และข้อมูลบางอย่างมีน้อยนิดและยากที่จะเก็บเล็กผสมน้อยมาเพื่อให้ได้ข้อมูล ที่เพียงพอและมากที่สุด รวมถึงความช่วยเหลือจากเพื่อนๆในเรื่องการถ่ายภาพ การจัดท่าทางและสถานที่เพื่อในมาใช้ประกอบกับงานวิจัยชิ้นนี้ เพื่อนข้าพเจ้าตั้งคำถามกับข้าพเจ้าว่าทำไมถึงต้องหาข้อมูลมาใส่มากมายซึ่ง จะทำให้เสียเวลามาก นี่ก็ยังไม่นับส่วนของการเก็บข้อมูลจากแบบสอบถามที่ข้าพเจ้าโดนปฎิเสธในที่ สาธารณะจากผู้ฝึกโยคะอยู่บ่อยๆ บางครั้งก็ไม่ได้รับกลับคืนมาซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาของการเก็บข้อมูลและ นั่นก็เป็นผลทำให้ข้าพเจ้ามักไม่ค่อยกล้าเข้าไปแจกแบบสอบถามเนื่องจากกลัว การถูกบอกปัด อย่างไรก็ตามกว่าจะได้ครบตามที่ตั้งค่าไว้รวมถึงข้อมูลจากส่วนก่อนหน้านี้ จึงทำให้ข้าพเจ้ากับเพื่อนๆเรียกงานชิ้นนี้ว่าวิทยานิพนธ์พันปี จนงานชิ้นนี้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาพร้อมที่จะถูกนำเสนอโดยมีเหล่าอาจารย์ที่ ปรึกษาทั้งสามคอยให้คำแนะนำและหนึ่งในนั้นเคยเล่าว่าเมื่อหลายปีก่อนมีวิทยา นิพนธ์อยู่หนึ่งเล่มได้รางวัลชนะเลิศ และนั่นก็ทำให้ความคิดในการส่งเข้าประกวดผุดขึ้นมา จะเรียกว่าเป็นจังหวะที่ดีก็ได้ที่หลังจากที่ส่งเล่มที่สมบูรณ์แล้วจึงมี ข่าวการประกวดวิทยานิพนธ์ระดับประเทศซึ่งจัดโดยสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหาร ศาสตร์หรือที่เรียกกันว่า NIDA ทำให้ข้าพเจ้าอยากลองส่งดูซึ่งก็ไม่ได้เสียอะไรเลยนอกจากรูปถ่ายหนึ่งใบ ค่าถ่ายสำเนาเล่มสามชุดกับ CD อีกหนึ่งแผ่นจากนั้นก็รอฟังผล ถ้าได้คะแนนสูงสุดสามอันดับแรกในแต่ล่ะสาขาจึงจะมีสิทธิเข้าไปนำเสนอผลงาน เพื่อเข้ารับการตัดสินให้เป็นอันดับหนึ่งของสาขานั้นๆ จากนั้นสองอาทิตย์ราวๆหกโมงเย็นมีโทรศัพท์มาถึงข้าพเจ้าให้เตรียมตัวไปนำ เสนอผลงานซึ่งมีเวลาให้ยี่สิบห้านาทีในอีกสัปดาห์ข้างหน้า

                ข้าพเจ้าจำได้ดีถึงความรู้สึกตื่นเต้นในวันที่ต้องไปนำเสนอผลงานบวกกับความ กังวลใจในเรื่องการเตรียมตัวซึ่งข้าพเจ้ามีเวลาน้อยมากเนื่องจากงานประจำที่ ข้าพเจ้าทำอยู่ในช่วงที่กำลังยุ่ง คืนก่อนหน้าเป็นคืนที่รู้สึกว่าทุกอย่างดูเร่งรีบไปหมดซึ่งทุกเนื้อหาและราย ละเอียดต้องตรงจุดและกระชับให้อยู่ในเวลาที่กำหนดไว้ ช่วงสายของวันที่เจ็ด กันยายน เป็นเวลาที่ต้องเข้าไปลงทะเบียนเตรียมตัวและเพื่อดูอาคารและห้องที่แต่ล่ะ สาขาจะต้องนำเสนอผลงาน ข้าพเจ้าไปถึงห้องประชุมก่อนเวลาครึ่งชั่วโมงกับความรู้สึกตื่นเต้นรวมถึง ได้ยินเสียงหัวใจเต้นถี่ๆกว่าปรกติอย่างชัดเจน อาหารกลางวันมื้อนั้นไม่ได้ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกถึงความอร่อยเลยแม้ว่าจะเป็น หนึ่งในเมนูที่ข้าพเจ้ามักจะทานเป็นประจำ  ผู้หญิงที่สวมชุดสูทสีดำเตรียมตัวนำเสนอผลงานเกี่ยวกับแผนธุรกิจขึ้นบนเวที พร้อมกับเสียงปรบมือให้กำลังใจจากคุณแม่ อาจารย์ชาวต่างชาติ รวมถึงรุ่นพี่ๆของเธอทำให้ข้าพเจ้าเกร็งเล็กน้อย เวลาผ่านไปแล้วเกือบครึ่งชั่วโมงจึงเป็นเวลาของข้าพเจ้าที่จะต้องนำเสนองาน วิทยานิพนธ์ที่ข้าพเจ้าอยากจะถ่ายทอดไปยังนักศึกษาและบุคคลทั่วไปถึงงานชิ้น นี้ที่ซึ่งถูกกลั่นกรองด้วยความตั้งใจและภูมิใจของนักศึกษาจากรั้วรามคำแหง จากที่เกร็งในช่วงแรกพูดผิดพูดถูกเนื่องจากความกังวลจนกลายมาเป็นความสนุก กับการนำเสนอหลังจากที่เห็นว่ามีจำนวนผู้ฟังเพิ่มขึ้นและดูเหมือนว่าทุกคน ต่างให้ความสนใจและอยู่กับลักษณะท่าทางโยคะและเนื้อหาที่ข้าพเจ้าได้นำเสนอ ตลอดจนจบ ทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดีจนถึงเวลาประกาศรางวัลชนะเลิศซึ่งมีหลายสาขาหลาก มหาวิทยาลัยทั้งจากในและต่างประเทศ ทั้งระดับปริญญาโทและปริญญาเอก ความภูมิใจไม่ได้อยู่แค่ใบประกาศณียบัตรและรางวัลที่ได้รับ ไม่ได้แค่มาจากเสียงของคนที่เข้ามาแสดงความชื่นชมในผลงานหลังจากเสร็จสิ้น การนำเสนอเท่านั้น แต่รวมถึงความสำเร็จที่ข้าพเจ้าก้าวข้ามผ่านจุดที่จะทำให้ล้มเลิกกลางคันมา หลายหน ความภูมิใจจากการที่นั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ เดินทางไปห้องสมุดตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ตามหานิตยสารบางฉบับตามแพงหนังสือ ร้านค้าจนถึงสำนักพิมพ์โดยตรงเพื่อรวบรวมข้อมูลอยู่หลายปี และที่สำคัญที่สุดคือกำลังใจจากคุณแม่ เหล่าอาจารย์ที่ปรึกษาและเพื่อนๆที่ทุกคนต่างยิ้มไปพร้อมกับข้าพเจ้า

             วันนี้ขณะที่ข้าพเจ้ามาทำงานแล้วเห็นข้อความจากเพื่อนรักคนนึงที่ได้ รู้จักกันจากรั้วรามคำแหงซึ่งข้าพเจ้าเคยพูดกับเธอว่าจะต้องรับพระราชทาน ปริญญาพร้อมกัน แต่เธอตัดสินใจไปศึกษาต่อในที่ใหม่ ที่ซึ่งเธอได้บอกเล่ากับเพื่อนๆของเธอด้วยความภูมิใจถึงตัวข้าพเจ้าที่ได้ รับรางวัลนี้มา เธอเขียนมาว่า “ชาลีทำให้เรานึกถึงคำพูดของอาจารย์ชาวต่างชาติว่าชาลีเป็นนักศึกษาที่ outstanding มากและวันนี้ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นจริง เก่งมากนะชาลี เราเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนหลายคนฟัง แล้วเค้าก็ชมกันหมดเลย เราภูมิใจในตัวเพื่อนมากนะ” เช้าวันนี้จึงทำให้ข้าพเจ้ามีรอยยิ้มไปได้ตลอดวัน ฟังดูแล้วอาจจะนึกว่าข้าพเจ้าเป็นคนเรียนเก่ง แต่เปล่าเลยข้าพเจ้าไม่ใช่คนที่เรียนเก่งมากเป็นแค่นักศึกษาธรรมดาทั่วๆไป เรียนบ้าง โดดบ้าง แต่ถ้าให้พูดถึงวิทยานิพนธ์หรือเป็นงานเขียนต่างๆ ข้าพเจ้าแค่ทำในสิ่งที่ชอบ สิ่งที่สนใจ เพียงเท่านี้ผลงานก็จะออกมาดี ก็แค่นั้นเอง เขียนในสิ่งที่รู้หรือสนใจย่อมดีกว่าเขียนในเรื่องที่เรารู้สึกเฉยๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ควรเขียนในเรื่องที่ไม่รู้หรือไม่ชอบ แต่ข้าพเจ้าเพียงแต่เปรียบเทียบเท่านั้นเอง ข้าพเจ้าคิดว่าถ้าศึกษาในสิ่งที่สนใจจะทำให้การเรียนรู้หรือการดำเนินผลงาน ของเราเป็นไปได้เร็วขึ้น ซึ่งหัวข้อวิทยานิพนธ์ทั้งสี่ที่ข้าพเจ้าเคยร่างไว้แล้วล้วนเป็นสิ่งที่ ข้าพเจ้าสนใจทั้งสิ้นแต่สุดท้ายก็มาลงเอยกับการฝึกโยคะของข้าพเจ้าเอง

“Where there is a will, there is a way.” อาจเปรียบ เทียบกับลูกหมูตัวที่สามที่พยายามหาก้อนอิฐมาสร้างบ้านในขณะที่ลูกหมูสองตัว แรกหัวเราะว่าทำไมเวลาในการสร้างบ้านถึงใช้เวลานาน บ่อยครั้งในเวลาที่ข้าพเจ้าเกือบที่จะล้มเลิกงานชิ้นนี้ก็เคยสงสัยว่าบาง ครั้งวลีนี้อาจใช้ไม่ได้กับงานของข้าพเจ้า หรือความพยายามของข้าพเจ้าควรจะมีมากกว่านี้ แต่อย่างไรก็ตามข้าพเจ้าก็ยังคงมีคำถามกับตัวเองจนถึงวันนี้ว่าประโยคนี้ สามารถใช้ได้จริงกับชีวิตประจำวันของเราได้หรือไม่ หรือมากน้อยเพียงใด แต่ที่แน่ๆสำหรับข้าพเจ้าคงต้องเพิ่มไปว่า “Where there is a strong will, there is a way.”